ชาติพันธุ์ : ไทยวน หรือ คนเมือง

ไทยวน หรือ คนเมือง

          เป็นกลุ่มชนที่เป็นกลุ่มวัฒนธรรมหลักของแม่แจ่ม ด้วยภูมิประเทศของแม่แจ่มถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา จึงทำให้แม่แจ่มยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้ได้ดีกว่าเมืองอื่นๆ ในจังหวัดเชียงใหม่



 

          สิ่งที่เด่นชัดของการแบ่งกลุ่มนั่นคือ ภาษา ชาวไทยวนแม่แจ่มเป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาไทยวนแต่สำเนียงมีความหลากหลายอยู่พอสมควร ด้วยอาจจะมีการเลื่อนไหล หรือเคลื่อนย้ายอพยพเข้ามาจากหลากพื้นที่ ความแตกต่างมีมากบ้างน้อยบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วสำเนียงแม่แจ่มจะจัดอยู่ในกลุ่มเชียงใหม่สายใต้ ใกล้เคียงกับทางสันป่าตอง ดอยหล่อ จอมทอง จนถึงฮอด นอกจากภาษาที่บ่งบอกเด่นชัดของไทยวน หรือคนเมืองแล้ว การนุ่งผ้าของสตรีชาวแม่แจ่ม ถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ด้วยสตรีชาวแม่แจ่มที่เป็นไทยวน จะนิยมนิ่งผ้าซิ่นตีนจก ในโอกาสสำคัญ เช่น ไปทำบุญที่วัด ในเทศกาลงานต่างๆ เป็นต้น บางครั้งในยามปกติทำงานอยู่ที่บ้าน สตรีชาวแม่แจ่มก็นิยมนุ่งผ้าซิ่นลัวะ แต่จะนุ่งยาวแบบคนไทยวน ไม่นุ่งสั้นแบบชาวลัวะ ส่วนบุรุษก็นิยมแต่งตัวตามสมัยนิยม

          ส่วนประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อันแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ

          ประเพณีในรอบปีของชาวไทยวน

          การนับเดือนของชาวไทยวน จะนับเร็วกว่าทางภาคกลางของไทยไป 2 เดือน เช่น ทางล้านนานับเดือนยี่ จะตรงกับทางภาคกลางเดือนสิบสอง เป็นต้น โดยมักจะเริ่มกันจากสงกรานต์ เป็นปฐม นั่นคือเดือน 7 เป็นต้นไป (เดือน 7 ประมาณเดือนเมษายน)

          เดือน 7 

ประเพณีสงกรานต์ หรือปี๋ใหม่หลวง

          ประเพณีสงกรานต์ทางล้านนาซึ่งจะมีการปฏิบัติที่คล้ายๆ กัน ดังนี้

          วันสังขานต์ล่อง ก็จะมีการทำความสะอาดบ้านซักผ้า

          วันเน่า เป็นวันที่เตรียมขนม และของที่จะไปทำบุญที่วัด

          วันพระญาวัน เป็นวันที่ทำบุญที่วัด สรงน้ำพระ

          วันปากปี ส่งเคราะห์บ้าน

          แต่ที่อำเภอแม่แจ่มที่อยู่ใต้ฝายหลวงลงไป เช่น บ้านทัพ บ้านไร่ บ้านยางหลวง เป็นต้น จะมีประเพณีที่เฉพาะถิ่นอย่างมาก นั่นคือ ประเพณีล่องสังขานต์ (สัมภาษณ์ พ่อเปี้ย เก่งการธรรม, 2560) บางทีก็เขียนว่า สังขาร ตามนัยยะแห่งสังขารคนเราที่ล่องล่วงไปตามกาลเวลา พิธีกรรมนี้จะทำกันในวันสังขานต์ล่อง โดยจะคล้ายกับการลอยเคราะห์ให้ออกไปจากตัว โดยมีการขึ้นท้าวทั้งสี่ และทำกระทงกาบกล้วยขนาดใหญ่ หรือสะตวง 9 ช่อง ในแต่ละช่องประกอบด้วย ข้าว 9 ก้อน เทียน 9 เล่ม  เครื่องเซ่นบูชา 9 สำรับ บรรจุลงไปในสะตวง นอกจากนี้แต่ละคนก็จะนำน้ำส้มป่อย เส้นฝ้าย และที่ขาดไม่ได้คือ “ข้าวฟอง” แต่เดิมเป็นการนำข้าวเหนียวแช่น้ำ แล้วตำ ปัจจุบันนำข้าวแป้งที่ขายเป็นถุงจากตลาดนวดกับน้ำให้เหนียวเหมือนที่ทำขนม มาในพิธีด้วย

          เมื่อผู้ประกอบพิธีอ่านโองการเสร็จ แต่ละคนก็จะนำข้าวแป้งที่เตรียมมานั้นกลิ้งไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับเป็นการเช็ดเอาเคราะห์ทั้งหลายที่อยู่ติดตัวออกไป แล้วเอาใส่ไว้ในสะตวงใหญ่นั้น บางคนก็อาจจะปั้นเป็นรูปสัตว์ตัวเปิ้ง หรือรูปนักษัตรประจำปีเกิด ใส่ลงไปในสะตวงด้วยก็มี จากนั้นก็เอาไปลอยล่องน้ำแม่แจ่ม จากนั้นก็มัดมือให้กับผู้เข้าร่วมพิธี ก็เป็นเสร็จพิธีสำหรับการล่องสังขานต์นี้ (สืบพงศ์ จรรย์สืบศรี และคณะ, 2556: 2-57)


          ประเพณีเดือนเจ็ดวัดพระบาท

          ประวัติวัดพระบาท โดยสังเขป (จากระบบฐานข้อมูลวัด เข้าถึงเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 จากเว็บไซด์ http://www.templethailand.org/ID50030205วัดพระบาท.html) วัดพระบาท ตั้งอยู่เลขที่ 70 บ้านป่าหนาด ถนนแม่แจ่ม - ฮอด หมู่ที่ 3 ตำบลท่าผาอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์ มหานิกาย ด้วยวัดนี้มีรอยพระพุทธบาท จึงได้ชื่อว่าวัดพระบาท โดยเริ่มสร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 2451 โดยครูบาเตชะ ต่อมาก็มีการพัฒนาสร้างเสนาสนะต่อมา และมีประเพณีประจำปี ในเดือนเจ็ดเหนือ ที่แต่ละวัดจะนำเครื่องไทยทานมาถวายยังวัดแห่งนี้

          เดือน 8

          ประเพณีปีใหม่น้อย

จัดขึ้นในเดือน 8 แรม 8 ค่ำ (ทางฝั่งวัดเจียง หากปีไหนมีอธิกมาส จะเลื่อนไปเดือน 9) อันเป็นพิธีขอฝน เลี้ยงผีขุนน้ำของน้ำต่างๆ ที่เป็นสาขาของน้ำแม่แจ่ม เช่น ของนาที่รับน้ำจากน้ำแม่อวม ตั้งแต่บ้านช่างเคิ่ง บ้านเกาะ บ้านสันหนอง บ้านเจียง บ้านป่าฝาง บ้านต่อเรือ บ้านแม่อวมใน  โดยจะมีการบวงสรวงขุนต้นน้ำแม่อวม (ฝอยทอง สมวถา, 2546: 87 – 89)

          ทางฝั่งบ้านพร้าวหนุ่ม ก็จะทำพิธีร่วมกับทางพุทธศาสนาด้วย โดยจะไปทำพิธีที่วัดทุ่งแล้ง โดยอีกส่วนหนึ่งก็แบ่งมาไหว้ที่หอหลวง อีกส่วนหนึ่ง ก็ไปที่ขุนน้ำผาตั้ง โดยนำน้ำที่ขุนน้ำมารดสรงพระพุทธรูปที่วัดทุ่งแล้งด้วย

          บางกลุ่มที่ใช้น้ำแม่แรก ก็จะไปที่ห้วยปู่เจ้า หรือทุ่งปู่เจ้า ในการเลี้ยงผีขุนน้ำ

          นอกจากจะมีการเลี้ยงผีขุนน้ำแล้ว ยังมีการแข่งขันจุดบั้งไฟเพื่อขอน้ำฟ้าสายฝนอีกด้วย เมื่อเลี้ยงเสร็จก็มีการกินเลี้ยงและสนุกสนานรื่นเริง คล้ายกับวันปีใหม่หลวง อีกนัยยะหนึ่งในสมัยก่อน มักจะมีการเดินทางไปค้าขายวัวต่างม้าต่างยังที่แดนไกล บ้างก็กลับบ้านไม่ทันช่วงปีใหม่หลวงหรือสงกรานต์ แต่หากกลับมาถึงเดือนแปด ก็มีการสังสรรค์กันอีกครั้ง การที่มีการสังสรรค์และมีความรื่นเริงแบบนี้เอง ทำให้ทางอำเภอแม่แจ่มเรียกการเลี้ยงผีขุนน้ำว่าปีใหม่หน้อย (สัมภาษณ์ พ่อหนานประเสริฐ ปันศิริ, 2560)

          ประเพณีเดือนแปด วัดกองกาน

          วัดกองกาน เป็นวัดที่มีความเป็นมายาวนาน โดยตำนานกล่าวถึงกลุ่มชนที่สัมพันธ์กันทั้งไทยวน กะเหรี่ยง และลัวะ เมื่อมีการพบพระพุทธรูปตนหลวง มีการบูรณะสร้างเป็นวัด ก็มีคนจากที่ต่างๆ หาบข้าวของมาบูชาพระกันมากมาย จนไม้คานที่หาบของมากองได้กองใหญ่ จึงเรียกวัดนี้ว่าวัดกองกาน อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในท้องถิ่นและคนจากต่างถิ่นกันอย่างไม่ขาดสาย

          วัดกองกาน เป็นวัดที่มีงานประจำปีในช่วงเดือนแปด โดยมีขบวนเครื่องไทยทานจากวัดต่างๆ มาถวายทำบุญในวันขึ้น 15 ค่ำ เรียกว่า “วันครัวทานเข้า” นอกจากนั้น ก็มีการอบรมสมโภชพระพุทธรูปตนหลวง อันเป็นพระประธานในวัดเป็นประจำทุกปี (สัมภาษณ์ พ่อหลวงศรีวัน ยะศิลป์, 2560)

 

          เดือน 9

        เลี้ยงผีปู่ย่า

บางตระกูลก็จะมีการเลี้ยงผีปู่ย่ากันในเดือน 9 นี้ ซึ่งจะเป็นการเลี้ยงประจำปี ของลูกหลานในตระกูล หากเป็นการเลี้ยงแก้บน ต่างๆ ก็จะเลี้ยงได้ตลอดปี ยกเว้นวันพุธ วันพระ วันผีกินผี วันม้วยอารักษ์ และกลางพรรษา (สัมภาษณ์ พ่อหนานประเสริฐ ปันศิริ, 2560) ในบางตระกูล เช่นบ้านยางหลวง ก็จะเลี้ยงผีปู่ย่าหลังจากเลี้ยงพ่อเจ้าหลวงเสร็จ (สัมภาษณ์พ่อเปี้ย เก่งการธรรม, 2560)

ประเพณีเดือน 9 วัดแม่ปาน

วัดแม่ปาน ตั้งอยู่หมู่ 10 บ้านแม่ปาน ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 23 เดือน พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นการทำบุญของชาวแม่แจ่มที่นำขบวนเครื่องไทยทานเข้าทำบุญยังวัดนั้นๆ

เดือน 10

ประเพณีเข้าพรรษา

เป็นประเพณีทางพุทธศาสนา ในช่วงเดือน 10 อันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนานั่นคือ วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา โดยปกติชาวล้านนาจะให้ความสำคัญกับวันเข้าพรรษามากว่าวันอาสาฬหบูชา ซึ่งวันเข้าพรรษา เป็นวันที่ทางพระคณะสงฆ์จะงดธุดงควัตร ไม่เดินทางไปไหน จะจำพรรษา ณ ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลา 3 เดือน และชาวบ้านก็หยุดออกทางไปค้าขายยังที่ไกลเช่นกัน คนเฒ่าคนแก่ก็จะเข้าวัดฟังธรรมกันในช่วงเข้าพรรษา

เดือน 11

คนเฒ่านอนวัดจำศีล

ในอำเภอแม่แจ่ม ยังคงสืบทอดประเพณีนี้อย่างเหนียวแน่น ที่ผู้เฒ่าผู้แก่จะนิยมไปนอนวัดจำศีลในช่วงกลางพรรษา แต่เดิมจะไปนอนล่วงหน้าวันศีล 1 วัน และออกหลังวันศีลอีก 1 วัน เช่น 7 ค่ำเข้า 9 ค่ำออก แต่ปัจจุบัน ก็ยังมีการนอนวัดอยู่ แต่ไม่นานเท่าแต่เดิมเหมือนในอดีต

เดือน 12

สลากภัต

ประเพณีสลากภัต เป็นช่วงการทำบุญอุทิศไปหาผู้ตาย ในช่วงเดือน 12 ที่เชื่อกันว่าผู้ที่ตายไปแล้วจะออกมารับของทานได้โดยสะดวก ผู้คนจึงนิยมถวายสลากภัตอุทิศไปหาญาติพี่น้องกันเป็นจำนวนมาก บ้างก็ถวายมาก บ้างก็ถวายน้อย จึงจัดทำเป็นสลากขึ้นกับว่าพระสงฆ์หรือสามเณรรูปใดที่มีโชคก็จะได้จะได้ต้นสลากต้นใหญ่ไป

แต่เดิมนั้นในการถวายทานสลากภัต จะทำไม่พร้อมกันในแต่ละวัด โดยวัดหลวงช่างเคิ่งซึ่งเป็นวัดแรกของเมืองแม่แจ่มจะต้องทำการถวายสลากภัตก่อน แล้ววัดอื่นๆ ถึงจะทำการถวายสลากภัตได้ และเมื่อถวายสลากภัต แต่ละหมู่บ้านก็จะมีการต้อนรับเลี้ยงแขกกันอย่างมากมาย ทางคณะสงฆ์เห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงกำหนดใหม่ ให้มการถวายสลากภัตพร้อมกันทุกวัดในอำเภอแม่แจ่มจนถึงปัจจุบัน (สัมภาษณ์ พ่อหนานประเสริฐ ปันศิริ, 2560)

เดือนเกี๋ยง

ออกพรรษา เมื่อพระสงฆ์จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว ตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 10 มาจนถึงขึ้น 15 ค่ำเดือนเกี๋ยงก็จะออกพรรษา ในวันออกพรรษานั้นผู้คนก็จะไปทำบุญที่วัดเหมือนตอนปกติ แต่ว่าจะมีการถวายผ้าจำนำพรรษา และถวายคัมภีร์ธรรมในวันออกพรรษาด้วย แต่เดิมเป็นการจารใบลานเป็นเรื่องๆ ตามแต่เจ้าศรัทธาจะเป็นผู้จารเองหรือว่าจ้างให้คนอื่นจาร แล้วนำมาถวายวันออกพรรษา แต่ปัจจุบันมักนิยมไปซื้อธรรมมาจากในเมืองที่เขาพิมพ์ขาย แล้วนำมาถวายทานในวันออกพรรษา

กฐิน – จุลกฐิน

เป็นช่วงที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ 1 เดือนหลังออกพรรษา คือตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือนเกี๋ยง ไปจนถึงวันยี่เป็ง เป็นช่วงเวลาที่กระทำการถวายกฐินได้ ซึ่งมีทั้งมหากฐิน และจุลกฐิน

มหากฐิน หรือกฐินทั่วไป จะมีเจ้าภาพเพียงหนึ่งคืนหรือเป็นสามัคคีก็ได้ โดยมีการตระเตรียมผ้ากฐินไว้ก่อนพร้อมกับบริวารกฐินในช่วงเวลาที่ยาว ไม่ต้องรีบเร่ง เรียกว่า มหากฐิน

จุลกฐิน คือกฐินที่ใช้เวลาในการเตรียมผ้ากฐินในระยะเวลาอันสั้น คือ 1 วัน โดยเริ่มตั้งแต่เก็บฝ้ายจากสวน ผ่านกรรมวิถีต่างๆ เช่น อีดฝ้ายเอาเมล็ดออก ยิงฝ้าย ม่วนฝ้าย ปั่นฝ้าย นำฝ้ายออกจากไน สืบฝ้ายขึ้นหูก และปั่นฝ้ายเข้าหลอด ทอผ้า เย็บผ้า และย้อมผ้า ผึ่งจนแห้งจนถึงเช้าอีกวันจึงจะพร้อมทำการถวาย การที่ตระเตรียมผ้าจุลกฐินให้ทันในช่วงเวลาที่น้อยนี้ นับว่าได้อานิสงส์แรง แต่จะต้องใช้กำลังคนและทักษะในการทอผ้านอย่างยิ่ง ซึ่งแม่แจ่มเองเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยภูมิปัญญาของการทอผ้าอยู่แล้ว จึงสามารถจัดทำจุลกฐินได้ดี และเป็นที่ดึงดูดของนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ เช่นจุลกฐินวัดยางหลวง จุลกฐินวัดบ้านทัพเป็นต้น


เดือนยี่

ประเพณียี่เป็ง

ปัจจุบันในแม่แจ่มมีการลอยกระทงเฉกเช่นเดียวกับวัฒนธรรมหลักของไทยภาคกลาง แต่ก็ยังคงสืบทอดวิถีปฏิบัติในวัฒนธรรมของท้องถิ่นไว้อย่างเหนียวแน่น ในทุกวัดของอำเภอแม่แจ่ม

ในประเพณีเดือนยี่ มีพิธีย่อยๆ อีกหลายประเพณี ดังจะกล่าวต่อไปนี้

ฟังธรรมหาชาติเวสสันตรชาดก เป็นการฟังธรรมเวสสันตรชาดกทั้ง 13 กัณฑ์ และกัณฑ์อื่นๆ เช่นปฐมมาไลย ทุติยมาไลย อานิงสงส์เวสสันตรชาดก เป็นต้น โดย 1 ชุดจะเทศน์ภายใน 1 วัน หากมีเจ้าภาพมาก ก็อาจจะแบ่งเป็นชุดๆ ชุดละ 13 กัณฑ์ (อาจจะเพิ่มปฐมมาไลย และทุติยมาไลย อีก 2 กัณฑ์) เป็นสองวัน หรือสามวัน ขึ้นกับจำนวนเจ้าภาพ โดยให้วันสุดท้ายจบที่วันยี่เป็งพอดี 

 

ในการฟังธรรมจะต้องมีการตกแต่งธรรมมาสน์เป็นป่าหิมพานต์ มีการตกแต่งด้วยผ้าฉลุลายหรือกระดาษฉลุลายเป็นรูปช้างรูปม้า รูปข้าหญิง ข้าชาย ตามที่ปรากฏในธรรมเวสสันดรชาดก การเทศน์จะเทศน์บนธรรมาสน์หลวง ด้านหน้ามีค้างธรรมที่มีรูปเทวดาติดอยู่เรียกว่าพรหมสามหน้า จะมีการเทศน์ตามลำดับ ด้วยพระสงฆ์และสามเณรที่ฝึกเทศน์มาตลอดพรรษา ส่วนตัวผู้ฟังธรรมเองก็จะนิยมไปฟังธรรม และระหว่างฟังธรรมนั้นก็มักจะจุดประทีปบูชาธรรมไปด้วย

            บางแห่งนิยมตกแต่งวัดเป็นประตูป่า นัยยะว่าต้อนรับพระเวสสันดรเข้าเมือง พร้อมกันนั้นก็มีการชักโคมไฟขึ้นเหนือเสา และจุดไฟไว้ตลอดในการฟังธรรม ซึ่งจะมีกันทุกวัดในอำเภอแม่แจ่ม

 

          ในช่วงเย็นของวันยี่เป็ง (บางวัดอาจจะจัดขึ้นล่วงหน้าวันหรือสองวันก็มี) ก็จะมีการฟังธรรมอานิสงส์ผางประทีป และมีการจุดผางประทีปหรือตะครันประทีปเป็นพุทธบูชา ในช่วงนั้นทั้งบ้านและบริเวณวัดก็จะสว่างไสวไปด้วยแสงประทีปนับร้อยดวงที่ชาวบ้านช่วยกันจุดบูชา นอกจากนี้ยังมีการจุดสีสายค่าคิง หรือเส้นฝ้ายที่เป็นตัวแทนของสมาชิกในครอบครัวชุบน้ำมันมะพร้าวและจุดบูชาด้วยเช่นกัน

          บางแห่งก็จะมีการจุดบั้งไฟดอก ซึ่งในยุคหลังมักมีการแข่งขันเพื่อความสนุกสนานและเป็นการแสดงฝีมือในการทำบอกไฟดอกหรือพลุอีกด้วย (สัมภาษณ์ พ่อหนานประเสริฐ ปันศิริ, 2560)

          เดือน 3

          เข้ากำ (โสสานกรรม – รุกขมูลกรรม)

          เป็นช่วงที่อากาศหนาวตั้งแต่เดือนสามไปจนถึงเดือนห้า ก็จะมีประเพณีการเข้ากำ ซึ่งจะมีเป็นบางวัด บางปีอาจจะไม่มีสักวัดก็ได้ โดยการเข้ากำจะเป็นการเพื่อสร้างหรือพัฒนาอาคารหรือสถานที่เป็นสาธารณประโยชน์ ก็จะนิมนต์พระสงฆ์มาปฏิบัติธรรม และมีการเทศนา ชาวบ้านก็จะมาทำบุญ อุปัฏฐากพระสงฆ์ที่มาเข้าร่วมและถือโอกาสฟังธรรม

          ประเพณีเผาหลัวพระเจ้า

          ปกติประเพณีนี้จะทำในเดือนสี่ รายละเอียดจะขอกล่าวไว้ในประเพณีเดือนสี่เป็นหลัก โดยวัดที่จัดทำพิธีนี้ในเดือน 3 ได้แก่ วัดห้วยริน วัดบุปผาราม วัดแม่ปาน เป็นต้น เนื่องด้วยประเพณีเผาหลัวพระเจ้า จะทำพร้อมกับประเพณีถวายข้าวใหม่ การที่ย้ายประเพณีทั้งสองมาในเดือนสามนี้ ด้วยเหตุปัญหาการจำเป็นจะต้องกินข้าวใหม่ที่ได้จากนา ด้วยความเชื่อว่าหากไม่นำข้าวมาถวายพระก่อนจะกินไม่ได้ เมือได้ข้าวก่อน และจำเป็นต้องใช้ จึงต้องนำมาถวายก่อนพร้อมกับถวายหลัวพระเจ้าในงานครั้งนี้ด้วยเช่นกัน


          เดือน 4

          ประเพณีทานข้าวใหม่

          ตามความเชื่อว่าก่อนจะกินข้าวใหม่ จะต้องนำมาถวายพระก่อน โดยนำข้าวเปลือกข้าวสาร ตามแต่ที่ตกลงกันในหมู่บ้าน จะมากองรวมกัน โดยตั้งบาตรไว้สองแห่ง แห่งหนึ่งสำหรับข้าวเปลือก อีกแห่งหนึ่งสำหรับข้าวสาร เมื่อนำข้าวเปลือกและข้าวสารมาแล้ว ก็นำมาเทลงบาตร จนล้นบาตรออกมา ทำให้ประเพณีนี้ได้อีกชื่อหนึ่งว่า “ทานข้าวล้นบาตร” เมื่อต่างคนนำมาเทล้นท่วมบาตรออกมาเป็นกองข้าวเปลือกที่มีสีเหลือ และกองข้าวสารที่มีสีขาว ทำให้บางแห่งเรียกว่า “ดอยเงินดอยคำ” ด้วยกองข้าวทั้งสองกองนั้นเอง

 

          ประเพณีเผาหลัวพระเจ้า

          ส่วนใหญ่ในแม่แจ่มจะกระทำในเดือนสี่เป็นหลัก ยกเว้นบางวัดที่เลื่อนมาเดือนสาม โดยชาวบ้านจะเตรียมหาไม้จากป่า ลอกเอาเปลือกออก ตากให้แห้ง ในเย็นวัน 14 ค่ำก็จะนำไปรวมไว้ที่วัด และมีการมัดรวมกันเป็นกอง ด้านในบ่มไว้ได้ไม้ไผ่ เพื่อให้เกิดเสียงดังบอกสัญญาณให้ได้ยินไกล เมื่อไฟลุก แล้วทำการมัดไว้ด้วยเชือกเถาวัลย์ให้เป็นกองสวยงาม และเตรียมหลัวไว้ต่างหากอีกสามเล่ม ติดไว้ด้วยกรวยดอกไม้ เมื่อถึงเวลาตอนเช้ามืดหลังจากพระทำวัตรสวดมนต์เสร็จก็จะนำหลัวนั้นมากล่าวคำถวายและประเคนหลัวกับแท่นแก้ว จากนั้นก็นำมารวมกับกองไม้ที่เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนเย็น จากนั้นก็จุดไฟ จนไฟลุกท่วมกองฟืน จนมอดเป็นเถ้าถ่าน และช่วงนั้นก็ได้เวลาที่ชาวบ้านเริ่มทยอยกันมาวัด พร้อมกับได้อาศัยความอบอุ่นจากองไฟนั้นได้พอดี

          ประเพณีตั้งธรรมหลวง

          ประเพณีตั้งธรรมหลวงในแม่แจ่มอาจจะมีความหมายคนละอย่างกันในเมืองเชียงใหม่ ถ้าในเมืองเชียงใหม่จะหมายถึงการฟังธรรมเวสสันตรชาดก แต่ในแม่แจ่ม จะหมายถึงการฟังธรรม 10 ชาติ ได้แก่ เตมิยชาดก  มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก  เนมิราชชาดก  มโหสถชาดก  ภูริทัตชาดก จันทชาดก นารทชาดก วิทูรชาดก เวสสันดรชาดก นอกจากนี้อาจจะมีธรรมอานิสงส์ และปฐมมาไลย ทุติยมาไลย ร่วมด้วย (สัมภาษณ์ พ่อหนานประเสริฐ ปันศิริ, 2560)

          เดือน 5

          ประเพณีปอยหลวง

          เป็นงานบุญใหญ่ หรืองานเฉลิมฉลองเสนาสนะของวัด เมื่อมีการการก่อสร้างอาคารต่างๆ ของวัด เช่นวิหาร โบสถ์ ศาลา ซุ้มประตู พระธาตุ ฯลฯ ก็จะมีการเฉลิมฉลอง จัดกันเป็นงานใหญ่ของหมู่บ้าน ที่จะต้องมีฎีกาไปถึงวัดที่มีความสัมพันธ์กัน ส่วนชาวบ้านก็แจ้งข่าวไปยังญาติพี่น้องต่างหมู่บ้านให้มาร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย อาจจะจัดหลายวัน สามวัน ห้าวัน แล้วแต่ว่าจะเป็นวัดใหญ่หรือเล็ก มีศรัทธามากหรือน้อย ในงานนี้จะมีการอัญเชิญพระอุปคุตมาปกปักษ์รักษาในงานด้วย

          ประเพณีเดือนห้าเป็งวัดเจียง


          วัดเจียงเป็นวัดสำคัญของอำเภอแม่แจ่ม แต่เดิมมีที่บ้านเจียง มีวัดถึง 4 วัด ได้แก่วัดสะแหล วัดเฉลียง วัดเจียง และวัดปราสาท ปัจจุบันเหลือให้เห็นเพียงวัดเจียง และเจดีย์เก่าของวัดปราสาทอยู่ นอกจากนี้บ้านเจียงเคยเป็นที่ตั้งของหอเจ้าหลวงกอนเมือง ก่อนที่จะย้ายข้ามฝากไปยังบ้านพร้าวหนุ่ม

          โบราณสถานโบราณวัตถุสำคัญของวัดเจียง คือพระธาตุ 6 เหลี่ยมหรือพระธาตุทรงผ้าอุ้ม และพระเจ้าแสนตอง โดยคณะสงฆ์อำเภอแม่แจ่มได้กำหนดให้มีการทำบุญใหญ่ประจำปีไหว้พระธาตุวัดเจียงกันในเดือน 5 เป็ง ของทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2492 เป็นต้นมา (ฝอยทอง สมวถา, 2546: 116)

          เดือน 6

          ประเพณี 6 เป็งวัดช่างเคิ่ง

          วัดช่างเคิ่ง ชาวแม่แจ่มเรียกว่า วัดหลวงช่างเคิ่ง ถือเป็นวัดหลวงประจำเมือง และเป็นวัดแรกของเมืองแม่แจ่ม เวลาทำบุญสลากภัตก็จะต้องให้วัดนี้จัดก่อน นับว่าให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งงานทำบุญประจำปี ก็เกิดจากวัดช่างเคิ่งในเดือน 6 เป็งนี้เป็นปฐม ก่อนที่จะกำหนดทำบุญกระจายกันไปในวัดต่างๆ ในแต่ละเดือนดังที่กล่าวมาแต่ต้นนั้น

          สิ่งสำคัญของวัดช่างเคิ่ง ได้แก่พระธาตุ ที่ฉัตรหมุนได้ มีจารึกอักษรฝักขามรุ่นหลังที่จารึกลงบนแผ่นไม้ จ.ศ.1209 มีพระกัจจายนะ มีบ่อน้ำทิพย์ เป็นต้น ในงาน 6 เป็งนั้นจะมีศรัทธาจากแม่แจ่มทั้งหมดนำเครื่องไทยทานเข้ามาถวายกันอย่างคึกครื้นสนุกสนาน และมีการอบรมสมโภชพระธาตุและพระพุทธรูปเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด (ฝอยทอง สมวถา, 2546: 112)

เพิ่มข้อมูลโดย : a001
แก้ไขเมื่อ : 05 มี.ค. |+2021| 18:26